รีวิวการกักตัวที่ไทย VS เกาหลี
รีวิวการกักตัวที่ไทย VS เกาหลี มาตรการและการดู และของทั้ง 2 ประเทศ จะดีงามและแตกต่างกันอย่างไรบ้างนะ
สวัสดีค่ะ Creatrip ศูนย์รวมข้อมูลการท่องเที่ยวเกาหลีที่อัพเดทโดยคนเกาหลีในทุกๆวัน
#ไวรัสโควิด19 #ไวรัสโคโรนา
#อัพเดตเกาหลี #กักตัว #ไทย #เกาหลี
การระบาดของไวรัสโควิด 19 ถือว่าสร้างผลกระทบอย่างมากไปทั่วโลก ทำให้แต่ละประเทศออกมาตรการมาเพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาดครั้งใหญ่นี้ โดยการกักตัวนั้นถือว่าเป็นหนึ่งในมาตรการที่หลายประเทศนำมาใช้เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ
เนื่องจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศมีโอกาสที่จะติดเชื้อเช่นกันทั้งจากประเทศที่เดินทางมาหรือแม้แต่บนเครื่องบินที่อากาศไม่ค่อยถ่ายเทและผู้คนต้องนั่งอยู่ติดกัน การกักตัวเป็นเวลา 14 วัน (ตามเวลาที่เชื้อฝักตัวได้) จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อไม่ให้เกิดการติดต่อเพิ่มเติมทั้งกับบุคคลใกล้ชิด รวมไปถึงคนทั่วไป ตามมาดูกันดีกว่าค่ะว่ามาตรการกักตัวที่ไทยและเกาหลีนั้นแตกต่างกันอย่างไรบ้าง
ps. ความสะดวกสบายในการกักตัวอาจแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับโรงแรมที่เข้าพัก! ขอบคุณข้อมูลการกักตัวจาก facebook เพจแม่มดเอวา
🤞🏻Subscribe พวกเรา Creatrip บน Youtube
✨Creatrip Instagram
instagram.com/creatrip.thailand
การกักตัว
สำหรับผู้ที่มีเหตุจำเป็นต้องเดินทางมายังประเทศเกาหลีและผู้ที่เดินทางกลับมาที่ประเทศไทยจากต่างประเทศ สิ่งที่หลายคนสงสัยและอยากทราบกันคงไม่พ้นมาตรการในการกักตัว เนื่องจากเป็นสิ่งที่ทุกคนซึ่งเดินทางมาจากต่างประเทศต้องเผชิญ เพราะเป็นหนึ่งในมาตรการที่รัฐบาลของแต่ละประเทศใช้เพื่อป้องกันและรับมือกับการแพร่ระบาด
ระยะเวลาในการฝักตัวของเชื้อไวรัสโควิด 19 อยู่ที่ประมาณ 14 วัน ทำให้รัฐบาลของแต่ละประเทศตั้งมาตรการการกักตัวสำหรับผู้ที่พึ่งเดินทางเข้าประเทศ โดยมีระนะเวลาอยู่ที่ 14 วัน เพื่อความปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการแพร่ของเชื้อ กรณีที่ผู้เดินทางมาติดเชื้อไวรัสดังกล่าว ตามมาดูไปพร้อมๆกันดีกว่าค่ะว่าที่ไทยกับเกาหลีนั้นมาตรการเป็นเช่นไรบ้าง
การกักตัวในไทย
สำหรับการกักตัวที่ประเทศไทย หลังจากลงจากเครื่องบินก็จะพบกับเจ้าหน้าที่ยืนรอพร้อมใส่ชุดป้องกันเชื้อ เนื่องจากที่ไทยนั้นพบหลายเคสที่คนไม่ให้ความร่วมมือในการกักตัว ทำให้รัฐบาลเพิ่มมาตรการในการรับตัวผู้ที่เดินทางกลับมาจากต่างประเทศ ถือว่าสามารถป้องกันไม่ให้คนหลบหนีจากการกักตัวไปได้อย่างดีเลยละค่ะ
หลังจากที่เดินออกจากเครื่องมาได้ซักพักหนึ่งก็จะเจอกับจุดแรก ซึ่งเป็นจุดตรวจเอกสาร ได้แก่
1. หนังสือรับรองจากสถานเอกอัครราชทูต (ควรปริ้นท์มาให้พร้อม)
2. ใบรับรองแพทย์ ภาษาอังกฤษที่ยืนยันว่ามีสุขภาพเหมาะสมต่อการเดินทาง (Fit to Fly Health Certificate) โดยต้องออกภายใน 72 ชั่วโมงก่อนเวลาเดินทาง
3. หนังสือเดินทาง
4. บัตรโดยสารเครื่องบินใบเดิม
ควรเตรียมเอกสารให้พร้อมและครบถ้วนเพื่อความรวดเร็วในการตรวจสอบเอกสารนะคะ หลังจากนั้นก็ทำการเซ็นเอกสารยินยอมเข้ารับการกักตัวในสถานที่ซึ่งรัฐบาลจัดให้
เมื่อทำการตรวจสอบเอกสารเรียบร้อยแล้วก็เดินไปต่อกันที่จุดลำเลียงเพื่อพาไปขึ้นรถบัสไปยังสถานที่กักกันต่างๆ ของรัฐบาล โดยมีการจัดวางเก้าอี้สำหรับนั่งรอพร้อมเว้นระยะห่างตามความเหมาะสม และตามจำนวนของผู้โดยสารต่อรถบัส 1 คัน
หลังจากที่จัดจำนวนคนตามรถบัสเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็คือการรับกระเป๋าค่ะ การยืนรอรับสัมภาระนั้น เจ้าหน้าที่ก็ทำการเว้นระยะห่างระหว่างบุคคลด้วยเช่นกัน ไม่พเียงเท่านั้นยังมีการพ่นยาฆ่าเชื้อด้วยเดทตอลที่สัมภาระต่างๆ ก่อนขึ้นรถบัสค่ะ
เนื่องจากสถานที่ในการกักตัวของรัฐบาลนั้นมีหลายแห่ง ผู้ที่เข้ารับการกักตัวจะไม่ทราบว่าตัวเองถูกจัดให้เข้าพักที่โรงแรมไหน (แอบขึ้นอยู่กับดวงเหมือนกันนะคะเนี่ย)
สถานที่ซึ่งเราจะมีรีวิวในบล็อกนี้ก็คือโรงแรม Bangkok Centre บริเวณหัวลำโพงค่ะ ซึ่งเป็นสถานที่ที่ต้องเข้าพักและกักตัวอยู่เป็นเวลา 2 สัปดาห์
ก่อนที่จะเข้าโรงแรมต้องทำการฆ่าเชื้อที่รองเท้าก่อน โดยการเอารองเท้าจุ่มที่ถาดซึ่งมีน้ำยาฆ่าเชื้ออยู่ จากนั้นก็ถึงขั้นตอนของการ Check-in ซึ่งเจ้าหน้าที่จะทำการอธิบายเกี่ยวกับสถานที่กักกันโรค
ถึงแม้ว่าจะมีเป็นโรงแรมแต่เนื่องจากเป็นสถานที่สำหรับกักกันโรค ฉะนั้นทางโรงแรมจึงไม่มีบริการ room service หรือบริการอื่นๆตามที่โรงแรมปกติให้บริการ
เนื่องจากภายในห้องพักนั้นไม่อนุญาตให้มีการสูบบุหรี่และดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ทางเจ้าหน้าที่จึงทำการเก็บบุหรี่และแอลฮอล์ทั้งหมดไว้ก่อน ซึ่งสามารถมารับคืนได้ในภายหลัง
สำหรับการเข้าพักในห้องพักนั้น แต่ละคนจะได้อยู่คนห้องเดี่ยว เว้นเพียงแต่ผู้ที่ทำการยื่นเรื่องของพักคู่เท่านั้น โดยภายในห้องจะมีสิ่งขอวจัดเตรียมไว้ให้ ได้แก่ น้ำเปล่า 28 ขวด, ทิชชู 2 ม้วน, ผ้าเช็ดตัว 2 ผืน, กาน้ำร้อน และตู้เย็นขนาดเล็ก ไม่มีอุปกรณ์ทำความสะอาดห้อง
ฉะนั้นผู้ที่มีแพลนเดินทางกลับไทย แนะนำให้เตรียมขนม, กาแฟ หรืออาหารสำเร็จรูปมาเผื่อกันไว้ด้วยค่ะ เนื่องจากไม่สามารถสั่งอาหารเดลิเวอรี่มาทานได้ และญาติก็ไม่สามารถที่จะนำอาหารมาให้ได้เช่นกันค่ะ สามารถนำมาฝากได้เพียงแค่ของใช้ที่จำเป็นเท่านั้น
ภายในห้องน้ำมีสบู่เล็กๆให้ 2 ก้อน พร้อมกับน้ำยาล้างจานและฟองน้ำล้างจาน จริงๆแล้วที่โรงแรมมีสบู่และแชมพูสระผมให้ด้วยค่ะ หากหมดสามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ได้ค่ะ แต่ใช้เวลาซักหน่อย เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีจำนวนจำกัดและทำงานกันค่อนข้างหนักเลยค่ะในการดูแลผู้กักตัวทุกคน ทางที่ดีควรพกติดตัวกันมาด้วยนะคะ โดยเฉพาะยาสีฟันค่ะ
ไม่เพียงเท่านั้นในห้องน้ำก็ยังมีอ่างอาบน้ำด้วยค่ะ สำหรับคนที่อยากแช่น้ำเพื่อผ่อนคลายความล้าจากการเดินทาง แต่ว่าน้ำอุ่นไม่ค่อยไหลนะคะ เนื่องจากโรงแรมค่อนข้างมีอายุพอสมควร บางห้องอาจมีน้ำรั่ว หรือแอร์ไม่เย็นได้ ส่วนอินเตอร์เนตช้ามากค่ะ แนะนำให้เปิดอินเตอร์เนตกันมาเองให้พร้อมจากโทรศัพท์ส่วนตัว เพราะต้องอยู่ในห้องทั้งวัน น่าเบื่อพอควรเลยค่ะ
ทางโรงแรมมีที่เป่าผมให้แต่เป็นแบบติดผนัง ซึ่งเก่าพอสมควร ทางที่ดีพกกันมาเองดีกว่าค่ะ โดยเฉพาะคนท่ีผมยาว อีกอย่างที่ขาดไม่ได้เลยก็คือปลั๊กสามตาค่ะ เพราะบางโรงแรมปลั๊กไม่สามารถเสียบชาร์จบริเวณใกล้เตียงได้ค่ะ
ในส่วนของเรื่องอาหารนั้น ทางเจ้าหน้าที่ก็จะนำส่งมาให้ถึงหน้าห้องเลยค่ะ ซึ่งแต่ละห้องจะมีโต๊ะตั้งอยู่ที่ด้านหน้า เพื่อให้เจ้าหน้าที่นำอาหารมาให้ โดยที่แต่ละห้องอาจได้รับอาหารในเวลาที่แตกต่างกัน เนื่องจากเจ้าหน้าที่มีน้อยและทำงานหนักกันมากจริงๆค่ะ ฉะนั้นเวลาที่รีเควสอะไรไป อาจรอนานกันซักหน่อย โปรดเข้าใจกันด้วยนะคะ
เชื่อว่าหลายคนรอรีวิวสิ่งนี้อยู่แน่นอนค่ะ! อาหารนั่นเอง.... ทางเจ้าหน้าที่จะจัดส่งอาหารให้ครบ 3 มื้อที่ด้านหน้าห้อง ขอบอกว่าหน้าตาอาหารหน้าตาทีเดียวค่ะ และค่อนข้างหลากหลายทำให้ไม่เบื่อ โดยแต่ละมื้ออาหารจะครบ 5 หมู่เลย แม้บางมื้ออาจจะน้อยไปนิดรู้สึกไม่อิ่ม แต่ไม่ต้องกังวลสำหรับคนที่ทานเยอะ เพราะสามารถสั่งอาหารพิเศษเพิ่มต
สำหรับคนที่ต้องการทานขนม, ทานอาหารที่ได้รับแจกแล้วไม่อิ่ม หรือต้องการสิ่งของเพิ่มเติมสามารถสั่งซื้อได้ค่ะ โดยดูจากลิสต์ที่ด้านบนพร้อมราคาได้เลย คุณผู้หญิงทั้งหลายขอแนะนำให้ติดผ้าอนามัยมากันด้วยนะคะ เพราะว่าแต่ละคนอาจใช้ประเภทที่แตกต่างกัน ทางนี้มีให้เลือกเพียงแค่สีเขียวและสีชมพูเท่านั้น ฉะนั้นอาจจะไม่ใช่ประเภทที่ทุกคนใช้กันอยู่ก็ได้ค่ะ
ปล. การชำระเงินเป็นแบบโอนเท่านั้นนะคะ ไม่รับเงินสดค่ะ
ในระหว่างการกักตัว 14 วันนั้นจะต้องทำการวัดไข้เพื่อรายงานอุณหภูมิร่างกายทุกวันด้วยค่ะ โดยจะมีปรอทวัดไข้จัดเตรียมไว้ให้ แต่ระวังกันด้วยนะคะ หากทำแตกจะต้องซื้อใหม่เองค่ะ ใครที่มีแบบดิจิตอลอยู่ นำมาด้วยก็ดีนะคะ
ผู้ที่กักตัวนั้นไม่เพียงแค่ต้องกักตัวเป็นเวลา 14 วันเท่านั้น แต่ยังต้องเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิดอีกด้วยค่ะ โดยทางเจ้าหน้าที่จะเรียกตัวไปรอยังบริเวณล็อบบี้ เพื่อต่อคิวรอเข้ารับการตรวจค่ะ โดยการตรวจนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์จะเอาคัตตอนบัดขนาดใหญ่สอดเข้าในโพรงจมูก ลึกพอสมควร (เจ็บแน่นอนเลยค่ะ) เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำมูกไปตรวจ และหากมีเจ้าหน้าที่ติดต่อมาภายใน 3 วันแสดงว่า "ติดเชื้อ" ค่ะ
เนื่องจากเป็นสถานที่กักตัว เพื่อความปลอดภัยจึงมีกฎและข้อปฏิบัติ รวมถึงสิ่งของต้องห้ามให้ผู้กักตัวได้ปฏิบัติตามอีกด้วย
การกักตัวที่ไทยนั้น "ไม่มีค่าใช้จ่าย" รวมไปถึงการตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด 19 เมื่ออยู่ในระหว่างการกักตัวก็เช่นกัน แต่สำหรับคนที่กังวลว่าโรงแรมที่ได้เข้าพักนั้นจะไม่ดี ก็สามารถที่จะเลือกโรงแรมที่เข้าพักเองได้ตามที่รัฐกำหนด ส่วนค่าใช้จ่ายนั้น ผู้เข้าพักต้องเป็นผู้ชำระเงินเองทั้งหมด
การกักตัวในเกาหลี
การกักตัวในเกาหลีแตกต่างจากการกักตัวที่ไทยตรงที่ ชาวเกาหลีและผู้ที่มีที่พำนักถาวรสามารถทำการกักตัวได้เองที่บ้าน โดยไม่ต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ซึ่งรัฐบาลเป็นผู้กำหนดแต่ต้องติดตั้งแอพพลิเคชั่นตามตัวในมือถือ เพื่อป้องกันผู้หลบหนีการกักตัว พร้อมรายการอุณหภูมิร่างกายทุกวันเช่นกัน
ส่วนผู้ที่เป็นชาวต่างชาติและไม่มีที่พำนักถาวร เช่น นักท่องเที่ยวที่เข้าพักตามโรงแรม จะต้องเข้ารับการกักตัวในสถานที่ซึ่งรัฐบาลกำหนด โดยค่าใช้จ่ายทั้งหมดนั้น ผู้กักตัวจะต้องเป็นผู้ชำระเองทั้งหมด ซึ่งค่าใช้จ่ายจะคิดเป็นรายวัน วันละ 100,000 วอนหรือประมาณ 2,600 บาท ฉะนั้นเข้ารับการกักตัวทั้งหมด 14 วันจะต้องชำระเงิน 1.4 ล้านวอน หรือประมาณ 36,000 บาท
ซึ่งตั้งแต่วันที่ 23 มิถุนายน 2020 เป็นต้นไป ค่าใช้จ่ายในการกักตัวจะเพิ่มขึ้นจาก 100,000 วอน ต่อวันเป็น 150,000 วอนต่อวัน ฉะนั้นกักตัวเป็นเวลา 14 วันจะต้องเสียค่าใช้จ่ายรวมทั้งสิ้น 2.1 ล้านวอน หรือประมาณ 54,000 บาท
สำหรับการกักตัวที่บ้านนั้น เจ้าหน้าที่จะส่งของใช้ที่จำเป็นมาให้ได้แก่ มาส์ก, เจลล้างมือค่าเชื้อ, ที่วัดอุณหภูมิแบบดิจิตอล, สเปรย์, ข้าว, แกง, มาม่าและอีกมากมาย โดยทั้งหมดนี้ไม่มีค่าใช้จ่ายค่ะ
ในระหว่างการกักตัวนั้นจะมีเจ้าหน้าที่คอยเช็ค GPS บนมือถือของเราตลอด รวมไปถึงโทรเข้ามาที่มือถือของเราเป็นพักๆ เพื่อตรวจสอบว่าเรากักตัวอยู่ที่บ้านจริงหรือไม่ และป้องกันการทิ้งมือถือไว้ที่บ้านและออกไปด้านนอก
หากกักตัวอยู่แล้วรู้สึกว่ามีอาการไม่สบายหรืออาการที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสโควิด 19 (จากการรายงานอาการและอุณหภูมิ) ทางการจะเรียกเราเข้าตรวจเพื่อหาเชื้อ วิธีการตรวจก็เช่นเดียวกับที่ไทนค่ะ คือนำสำลีแท่งยาวสอดเข้าทางโพรงจมูกเพื่อเก็บตัวอย่างน้ำมูก การเดินทางมาตรวจนั้นจะต้องใช้รถส่วนตัวเท่านั้น ไม่สามารถใช้รถสาธารณะได้ค่ะ เพื่อป้องกันการแพร่เชื้อสู่สังคม สำหรับค่าใช้จ่ายนั้น ฟรีเช่นกันค่ะ
มาตรการของเกาหลีนั้นถือว่าค่อนข้างรัดกุมและปลอดภัยสำหรับบุคคลากรทางการแพทย์ด้วยค่ะ เพราะเป็นตู้ตรวจ ลดปฏิสัมพันธ์ระหว่างผู้เข้ารับการตรวจและผู้ติดได้เป็นอย่างดี ในการตรวจเข้าหน้าที่จะยื่นมาเข้ามาเพื่อเก็บเชื้อค่ะ เมื่อเก็บตัวอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้วก็จะถูกส่งตัวกลับไปกักตัวที่บ้านอีกครั้ง
หากใครมีผลตรวจว่าติดเชื้อโควิด 19 จะมีเจ้าหน้าที่มารับตัวไปยังโรงพยาบาลเพื่อเข้ารับการรักษา สำหรับค่าใช้จ่ายไม่ว่าจะเป็นการตรวจ, ค่ารักษา, ค่ายา, ค่าหมอ ฟรีหมด ไม่เสียค่าใช้จ่ายค่ะ ไม่ว่าจะเป็นคนเกาหลีหรือชาวต่างชาติก็ตาม
เป็นยังไงกันบ้างคะสำหรับการกักตัวที่ประเทศไทยและที่ประเทศเกาหลี ถือว่ามาตรการของแต่ละประเทศนั้นยอดเยี่ยมมากๆ เป็นการป้องกันการแพร่ระบาดและลดจำนวนของผู้ติดเชื้อได้เป็นอย่างดี หวังว่าจะช่วยคลายความสงสัยและเป็นข้อมูลที่ดีให้กับผู้ที่ต้องเดินทางกลับประเทศไทยเนื่องจากวีซ่าทำงานหมดอายุ, เรียนจบหรือต้องการเดินทางไปเยี่ยมญาติ รวมไปถึงผู้ที่ต้องการเดินทางมายังประเทศเกาหลีได้นะคะ
แล้วเจอกันใหม่โพสต์หน้าค่ะ
🤞🏻Subscribe พวกเรา Creatrip บน Youtube
✨Creatrip Instagram
instagram.com/creatrip.thailand
🎈ช้อปปิ้ง|สั่งซื้อสินค้าเกาหลี
โพสต์ที่น่าสนใจ |
เกาหลีใต้จ่อปรับค่าแรงขั้นต่ำ |
แมสก์หน้าร้อน KF-AD |
ถึงเวลาปรับค่าเงินวอนแล้ว? |