logo
logo
DEPRECATED_CloseIcon

ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

บทสัมภาษณ์คนเกาหลี ถึงการปรับตัวและชีวิตวิถีใหม่หลังการระบาดของโควิดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะจบลงง่ายๆ

피비 @creatrip
4 years ago
ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-thumbnail
ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังโควิด-thumbnail

สวัสดีค่ะทุกคน! พวกเรา Creatrip ศูนย์รวบรวมข้อมูลการท่องเที่ยวเกาหลีที่อัพเดทโดยคนเกาหลีในทุกๆวัน


#ชีวิตวิถีใหม่ #ข่าวเกาหลี
#COVID-19 #อัพเดทเกาหลี


ดูจากภายนอกแล้ว ชีวิตคนเกาหลีดูเหมือนจะกลับคืนสู่สภาพปกติเหมือนก่อนที่ไวรัสโคโรนาอันร้ายแรงจะเข้าสู่เกาหลีใต้

โรงเรียนหลายแห่งเปิดเรียนแล้ว แต่ว่าหลายๆแห่งก็ยังอยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อน และตอนนี้ห้างสรรพสินค้ากำลังจะกลับมาคึกคักไปด้วยนักช้อปและแฟนๆ กีฬาก็ไปที่สนามได้ แม้ว่าจะต้องใส่หน้ากากตลอดเวลาและมีข้อจำกัดอื่น ๆ อีกหลายอย่าง แนวโน้มของการแพร่ระบาดของไวรัสที่แสดงให้เห็นว่ามีการเพิ่มขึ้นอย่างมากในเดือนกุมภาพันธ์ยังคงทรงตัวมากในเดือนหลังๆ แม้จะมีความผันผวนเล็กน้อยในเดือนนี้

ถึงอย่างนั้นการต่อสู้กับเชื้อโรคร้ายก็ยังไม่สิ้นสุด มีความคิดเห็นแตกต่างกันไปอย่างกว้างขวางว่าความสมดุลระหว่างการระมัดระวังตัวจากไวรัสกับการใช้ชีวิตปกติอาจเสียได้ทุกเมื่อ หากยังมีการแพร่กระจายของการติดเชื้อในผู้ป่วยรายใหม่อยู่เรื่อยๆ

จากครูประถมที่คิดถึงความมีชีวิตชีวาของโรงเรียนไปจนถึงพนักงานต้อนรับบนเครื่องบินที่กำลังพิจารณาการเปลี่ยนอาชีพ The Korea Herald ได้สัมภาษณ์ผู้คนจากทุกสาขาอาชีพเพื่อให้ได้ภาพรวมว่าพวกเขารับมือกับชีวิตวิถีใหม่ในยุคของการคุกคามของไวรัสโคโรนาอย่างต่อเนื่องนี้อย่างไร


🤞🏻Subscribe พวกเรา Creatrip บน Youtube

Creatrip Instagram
instagram.com/creatrip.thailand

🎈บริการความงาม / เครื่องเขียน / รองเท้า / เครื่องแต่งกายเกาหลี


ชีวิตที่เปลี่ยนไปหลังโควิด

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินกำลังคิดที่จะเปลี่ยนอาชีพ?

การระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมการบินอย่างหนัก เนื่องจากพรมแดนระหว่างประเทศปิดและการเดินทางของผู้โดยสารทางอากาศลดลงอย่างรวดเร็วส่งผลให้สายการบินต้องหยุดชะงักการให้บริการ

สำหรับพนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน คิมซูจิน (Kim Su-jin) กล่าวว่า จากการระบาดของไวรัสโควิด 19 กระทบต่องานบริการบนเที่ยวบินของเธอเป็นอย่างมาก

เนื่องจาก จำนวนผู้โดยสารที่ปฏิเสธที่จะกินหรือดื่มภายในห้องผู้โดยสารมีเพิ่มขึ้นมากจนน่าตกใจ และผู้โดยสารหลายคนก็พยายามที่จะไม่ใช้ห้องน้ำอีกด้วย คิมซูจิน (นามสมมติ) แอร์โฮสเตสวัย 32 ปีซึ่งทำงานให้กับสายการบินในเอเชียเป็นเวลาสามปีกล่าว

พนักงานต้อนรับบนเครื่องบินได้รับคำสั่งให้เปลี่ยนวิธีการให้บริการผู้โดยสารเพื่อหลีกเลี่ยงและรักษาระยะห่างระหว่างการพูดคุย ไม่ว่าจะเป็นการให้บริการอาหารไปจนถึงสัมผัสสิ่งของของผู้โดยสาร รวมไปถึงการช่วยผู้โดยสารใส่สัมภาระในช่องเหนือศีรษะ

ผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคยังมากไปกว่านั้น คิมไม่ได้บินตั้งแต่เดือนเมษายนและเงินเดือนของเธอถูกตัด เธอเคยทำงานประมาณ 80 ชั่วโมงต่อเดือนก่อนเกิดโรคระบาดนี้ เธอกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในขณะที่เรากำลังแย่ แต่บริษัทก็อยู่ในภาวะที่ลำบากเช่นกัน ฉันคิดว่าบริษัทอาจจะปลดฉันออกถ้าวิกฤตยังคงอยู่ต่อไปเรื่อยๆ”

สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องนี้ทำให้เธอเริ่มนึกถึงอาชีพซึ่งมีความไม่แน่นอนของเธอ เธอได้กล่าวว่า “ฉันยังคงมีปัญหาในการยอมรับความจริงที่ว่า ฉันอาจต้องล้มเลิกความฝันที่จะรับมือกับความท้าทายใหม่ๆ ในอุตสาหกรรมนี้ เพราะไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าวิกฤตการระบาดจะลดลงอย่างไรหรือเมื่อไหร่ จิตใจของฉันเปลี่ยนตลอดเวลา ว่าฉันควรรอให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือหาเส้นทางทำอาชีพใหม่ในทันที”

เรากำลังอยู่ในยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและคาดเดาไม่ได้ คิมกล่าวเพราะก่อนหน้านี้อุตสาหกรรมการบินและการเดินทางกำลังเฟื่องฟูมากก่อนจะพบวิกฤตโควิด ด้วยเหตุนี้เธอจึงตระหนักดีว่าอาจเป็นเรื่องยากและไม่มีประโยชน์ที่จะหางานที่น่าสนใจสำหรับคนอื่นด้วย เพราะดูเหมือนทุกคนก็คิดคล้ายๆกัน

เธอทิ้งท้ายว่า “ตอนนี้ฉันพยายามเน้นไปที่การรู้จักตัวเองและค้นหาสิ่งต่างๆ ที่ฉันชอบและงานที่ฉันสามารถทุ่มเทความกระตือรือร้นและพลังงานลงไปได้”


แม่เริ่มคิดว่าอะไรดีที่สุดสำหรับลูก


อีจีซุน (Lee Ji-sun) วัย 34 ปีได้ยินข่าวการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาเพียงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่จะเดินทางกลับบ้านหลังจากวันหยุดฤดูหนาวกับลูกทั้งสองคน พวกเขาออกเดินทางในช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนและอยู่ที่บาหลีและมาเลเซียเป็นเวลา 10 สัปดาห์

“ฉันเริ่มกลัวมากขึ้นหลังจากได้ยินข่าวจากเกาหลีมาเรื่อยๆ (เกี่ยวกับ COVID-19) ฉันอ่านหลักเกณฑ์ที่เราต้องปฏิบัติตัวในสนามบินและระหว่างเที่ยวบินอย่างถี่ถ้วนและซ้ำๆ ฉันซื้อมาสก์หน้าจำนวนมากในบาหลี ดังนั้นเราจึงมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี” เธอกล่าว

อีตัดสินใจเดินทางไปอยู่ต่างประเทศเพราะจางอีแร ลูกสาววัย 6 ขวบและจางอีโด ลูกชายวัย 3 ขวบมีแนวโน้มที่จะเป็นหวัดง่าย ซึ่งตอนนั้นยังเป็นเวลาหลายสัปดาห์ในช่วงฤดูหนาวในเกาหลี มลพิษทางอากาศฝุ่นละอองที่เลวร้ายลงที่นี่ยังบังคับให้เธอมองหาสภาพแวดล้อมที่ดีกว่าสำหรับลูก ๆ ของเธอ

การว่ายน้ำในสระว่ายน้ำและเล่นบนหาดทรายเป็นกิจวัตรประจำวันของลูกๆของเธอ โรงเรียนอนุบาลที่เด็กๆ เข้าเรียนในบาหลีสอนภาษาอังกฤษและจัดอาหารกลางวันที่ทำจากวัตถุดิบออร์แกนิก ถึงอย่างนั้นค่าเรียนก็ยังถูกถึง 25,000 วอน ($ 21) ต่อเด็กหนึ่งคนต่อวัน

“ฉันคิดถึงประโยชน์มากมายกับการอยู่แบบธรรมชาติและมีอากาศหายใจที่สะอาด มันทำให้เราเห็นได้ว่าเด็กๆ มีสุขภาพที่ดีขึ้นและแข็งแรงขึ้นจากภายในสู่ภายนอก พวกเขาไม่เคยเหนื่อย พวกเขาไม่เคยเป็นหวัดแม้ว่าพวกเขาจะไปว่ายน้ำทุกวันก็ตาม” อีกล่าว

เมื่อกลับมาเกาหลีเธอและลูก ๆ ต้องอยู่ในห้องกักกันเป็นเวลา 14 วัน แต่อีก็ไม่มีปัญหาในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในโซล เธอชอบความสะดวกสบายในการจัดส่งอาหารและพัสดุและบริการซื้อของออนไลน์ที่นี่รวดเร็วและใช้งานง่ายกว่าบริการในบาหลี

แต่เด็กๆ เริ่มรู้สึกเบื่อการอยู่บ้านและรบเร้าเธอให้พาพวกเขากลับไปบาหลี

ก่อนการระบาดของไวรัสโคโรนา อีและสามีของเธอได้พูดคุยกันเกี่ยวกับการทำให้วันหยุดยาวเป็นงานประจำปีของครอบครัว แต่ตอนนี้โรคระบาดทำให้พวกเขาไม่แน่ใจในการเดินทางอีกต่อไป

“เราเชื่อว่าสิ่งสำคัญสำหรับเด็กๆ คือการได้สนุกกับการเล่นน้ำและพื้นดินในธรรมชาติก่อนที่พวกเขาจะโตขึ้น แต่มันกลายเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าเราจะไม่สามารถทำได้อีกในอนาคตอันใกล้นี้”


นักดนตรีมองเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืนในแวดวงดนตรี

ฮวางจองรยอลอายุ 50 ปี นักร้องนักแต่งเพลงและศาสตราจารย์ด้านวิศวกรรมดนตรีที่มหาวิทยาลัยศิลปะแบคซอกในกรุงโซลกล่าวว่า COVID-19 ได้เปิดโลกทัศน์ใหม่ให้กับศิลปิน เช่น การสตรีมสด และคอนเสิร์ตเสมือนจริง ด้วยการขยายแพลตฟอร์มออนไลน์ให้กว้างออกไป

“ความเฟื่องฟูของการแสดงสดออนไลน์ได้ผลักดันให้ขอบเขตของคอนเสิร์ตออฟไลน์ก้าวหน้าขึ้น ซึ่งตอนนี้ผู้ชมสามารถชมการแสดงสดของศิลปินที่ชื่นชอบได้โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปยังสถานที่จัดงาน” ฮวางกล่าว

ปัจจุบันศิลปินมีความเชื่อมั่นมากขึ้นกว่าเดิมว่าพวกเขาสามารถสร้างรายการได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ “มันมีความหมายที่ดีไม่ใช่แค่ในแง่ของการค้นหาโอกาสใหม่ๆ ในการทำกำไร แถมยังช่วยเติมเต็มความต้องการที่นักดนตรีและนักแสดงคนอื่นๆ มีต่อการเชื่อมต่อโลกออนไลน์ที่กว้างขึ้นและได้แบ่งปันเรื่องราวของพวกเขากับคนอื่นๆ ด้วย” เขากล่าว

แม้ว่าการถ่ายทอดสดขนาดใหญ่หลายรายการจะถูกยกเลิกหรือเลื่อนออกไปเนื่องจากเผชิญกับวิกฤต COVID-19 แต่ฮวางเชื่อว่าพวกเขาจะไม่หายไปไหน

“ฉันคิดว่าในไม่ช้าอุตสาหกรรมเพลงจะมีกลยุทธ์และเนื้อหาที่เป็นระบบ ซึ่งถือเป็นข้อดีของกิจกรรมออนไลน์และออฟไลน์ที่สามารถมอบให้กับแฟนๆ และบริษัทต่างๆได้” เขากล่าว


นักวิเคราะห์การเงินในสิงคโปร์คิดถึงครอบครัวที่กลับบ้านที่เกาหลี


นับตั้งแต่เริ่มมีการระบาดของไวรัส การกลับมารวมตัวกันของครอบครัวในเกาหลีใต้ที่บ้านเกิดกลายเป็นความฝันอันไกลโพ้นสำหรับ คิมแทคจิน (Kim Taek-jin) นักวิเคราะห์การเงินในสิงคโปร์ วัย 27 ปี


หลังจากที่เขาไม่ได้อยู่บ้านตั้งแต่เดือนสิงหาคมปีที่แล้ว โดยปกติแล้วการไปเยี่ยมครอบครัวของเขาแบบเป็นครั้งคราวผ่านเที่ยวบินยาวหกชั่วโมงในช่วงสุดสัปดาห์เป็นสิ่งที่ทำให้คิมมีแรงใจที่จะตื่นขึ้นทุกวันเพื่อทำงานสัปดาห์ละ 80 ชั่วโมง จนกระทั่งไวรัสเริ่มระบาดในช่วงต้นเดือนมกราคม


เมื่อไวรัสแพร่ระบาดออกนอกประเทศจีนและประเทศต่างๆ เริ่มปิดมีการพรมแดน คิมกล่าวว่า เขายกเลิกเที่ยวบินทั้งหมดในเดือนมีนาคมและหลายๆ เดือนต่อมา และถูกบังคับให้ต้องหาวิธีใหม่ๆ เพื่อให้ชีวิตของเขาดำเนินต่อไปและรักษางานที่หามาได้ยากของเขา


สิงคโปร์ยังควบคุมการแพร่ระบาดของไวรัสได้ดีและรักษาจำนวนผู้ป่วยที่ได้รับการยืนยันให้อยู่ในระดับต่ำ แต่วิถีชีวิตแบบเดิมของเขาถูกถอนรากถอนโคนโดยประเทศที่ใช้แนวทางรักษาระยะห่างทางสังคมอย่างเข้มงวด


“ส่วนใหญ่แล้ว เรายอมรับกันว่าการระบาดของไวรัสในอากาศได้เริ่มต้นขึ้น” คิมเล่า “การพบเจอกันแบบเห็นหน้ากันและการเดินทางไปพักผ่อนกับครอบครัวไม่ใช่ทางเลือกอีกต่อไป ดังนั้นเขาจึงต้องปฏิบัติตัวเช่นเดียวกับคนเกาหลีคนอื่นๆ ในสิงคโปร์ ภายใต้สถานการณ์ที่คล้ายกัน”


จากการระบาดของไวรัสในช่วงหกเดือน คิมกล่าว ว่าการต้องเผชิญหน้าปัญหาในแต่ละวันของการทำงานของเขาได้ผลดีขึ้น การโทรศัพท์และวิดีโอกับพ่อแม่และพี่สาวของเขาเป็นประจำช่วยให้คิมอยู่กับข่าวคราวของครอบครัวและช่วยให้เขาสนิทกับคนที่เขารักมากขึ้น


“ฉันได้คุยกับพ่อแม่มากกว่าที่เคยทำในอดีตก่อนมีการระบาด” เขากล่าว “ เราดูแลจิตใจกันและกันจากความกลัวไวรัสและช่วงเวลาแห่งความผูกพันในครอบครัวก็มีคุณภาพจริงๆ”


ถึงอย่างนั้นคิมก็รู้สึกโชคร้ายที่พลาดการฉลองวันเกิดของพี่สาว และการคลอดของหลานชายของเขา เขาแสดงความยินดีกับวันเกิดทางโทรศัพท์และได้เห็นภาพของหลานตัวน้อยผ่านสมาร์ทโฟนของเขาและเขาก็รอคอยเวลาที่จะได้บินไปเกาหลีเพื่อเก็บความทรงจำช่วงเวลานั้นไว้แม้จะมาช้าไปสักหน่อย


“การกักตัวสองสัปดาห์ (เมื่อเข้าประเทศเกาหลี) ไม่ใช่ปัญหา ฉันพร้อมมากสำหรับมาตรการนี้” คิมกล่าว “ เพราะฉันรอมานานกว่าหกเดือนแล้วและไม่มีเหตุอะไรที่ฉันจะทำแบบเดิมไม่ได้อีกเพียงแค่สองสัปดาห์”


สำหรับคิมการเข้าเกาหลีของคิมไม่ใช่ปัญหาจริงๆ แต่เขาและนายจ้างกังวลที่จะต้องอนุญาตให้คิมไปเยี่ยมครอบครัวในเกาหลี เพราะยังมีปัญหาเกี่ยวกับเรื่องโอกาสที่รัฐบาลสิงคโปร์จะจำกัดการเดินทางกลับเข้าสิงคโปร์


“คิดว่าเดือนธันวาคมสถานการณ์อาจจะดีขึ้นใช่ไหม” เขาถาม เพราะจำได้ว่าวัคซีนที่ใช้ได้ผลเป็นสิ่งที่จำเป็นเร่งด่วนสำหรับการพัฒนา “จนถึงตอนนี้ชีวิตก็โอเคดี แต่ถึงตอนธันวาคมแล้ว มันจะดีกว่านี้อย่างแน่นอน”



คุณครูประถมคิดถึงความมีชีวิตชีวาของโรงเรียน




เสียงพูดคุยที่มีชีวิตชีวา เสียงหัวเราะดังและความร่าเริงของเด็กเล็กหายไป ที่โรงเรียนประถมดงซู ในบูพยองกู เมืองอินชอน สถานที่ซึ่งคังฮเยมิน (นามสมมติ) ทำงานอยู่

โรงเรียนได้รับผลกระทบอย่างมากในภาคเรียนแรก ที่เกือบจะรู้สึกเหมือนอยู่ในการทำงานที่แตกต่างออกไป คุณครูวัย 29 ปีกล่าว

“มีกิจวัตรหลายอย่างที่ขาดหายไป เช่น การเดินเข้าห้องเรียนทุกต้นชั่วโมงทำให้เด็กๆ สงบลงจากความสนุกสนานและตื่นเต้นของช่วงเวลาพัก และบอกให้พวกเขาเปิดหนังสือเรียน” คังเล่า

“เพราะไวรัสนี้ ฉันต้องปล่อยวาง และเด็กๆ ก็ต้องปรับตัวเช่นกัน ไม่มีอะไรใกล้เคียงกับสิ่งที่เราต้องการอยากจะได้ สำหรับการเริ่มต้นภาคเรียนนี้ แต่เราก็ทำอะไรมากไม่ได้ "

การทำความคุ้นเคยกับชีวิตและวิถีใหม่ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคังในตอนแรก

หลังจากปิดโรงเรียนไปหลายสัปดาห์ชั้นเรียนออนไลน์ก็เริ่มขึ้นในเดือนเมษายน ชั้นเรียนแบบตัวต่อตัวกลับมาทำการเรียนการสอนอีกครั้งในสัปดาห์ต่อมา แต่มีเพียงสองวันต่อสัปดาห์ สำหรับนักเรียนสัปดาห์ละหนึ่งวัน เนื่องจากชั้นเรียนถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่มและมาโรงเรียนสลับกันในสองวันที่ต่างกัน

“เพราะฉันไม่สามารถเห็นนักเรียนตัวจริงได้ ฉันจึงรู้สึกเหมือนพูดคุยกับตัวเองเป็นเวลาหลายชั่วโมงและไม่มีใครสามารถดูแลเด็กๆ ได้” คังกล่าวถึงชั้นเรียนออนไลน์ของเธอ

ตอนนี้โรงเรียนของเธออยู่ในช่วงปิดเทอมฤดูร้อนและคังกำลังเตรียมตัวสำหรับภาคเรียนถัดไป เธอมีความมั่นใจมากขึ้นและสับสนน้อยลงเกี่ยวกับวิธีแนะนำนักเรียนของเธอในฐานะครูแม้ว่าการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสครั้งใหม่นี้ อาจทำให้โรงเรียนต้องปิดในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวตอไปอีก

"ฉันได้เรียนรู้วิธีตรวจสอบนักเรียนแต่ละคนผ่านวิดีโอแชทและข้อความ รวมถึงวิธีการเพิ่มประสิทธิภาพการสอนออนไลน์และออฟไลน์ให้ดีที่สุด" เธอกล่าว

“ฉันคิดว่าฉันพร้อมที่จะทำการสอนเทอมถัดไปให้ดีกว่าเทอมที่แล้วมาก” เธอกล่าวเสริมอีกว่า “ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับรัฐบาลแล้ว”


จากสถานการณ์โควิดที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะสิ้นสุดลงง่ายๆ ทุกคนต่างต้องเผชิญการเปลี่ยนแปลง เราขอเป็นกำลังใจให้ทุกๆคน แล้วพบกันใหม่ครั้งหน้าค่ะ!


🤞🏻Subscribe พวกเรา Creatrip บน Youtube

Creatrip Instagram
🎈instagram.com/creatrip.thailand

อีเมล:help@creatrip.com

Lotteria อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อขนาดใหญ่ในโซล

Lotteria อาจเป็นแหล่งแพร่เชื้อขนาดใหญ่ในโซล

เส้นทางแห่งความสำเร็จของยูแจซอก

เส้นทางแห่งความสำเร็จของยูแจซอก

โกชีวอนในเกาหลี

โกชีวอนในเกาหลี